วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2562

อยากมาเรียนต่อต่างประเทศ....ต้อง Agency นี้!!!

รีวิวเอเจนซี่ที่ดีที่สุดในโลก Aussy Education Group (AEG) 




       มีคนถามมาเยอะมาก ว่ามากับเอเจนซี่อะไร ดีไหม โดนเทรึเปล่า อ้าาาา มาๆ จะเหลาให้คมเลย💗💗ก่อนอื่นเลย ต้องขอบอกว่าปัจจุบันเราอยู่ที่ Sydney เรียบร้อยแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 4-5 เดือนที่ผ่านมา เราพึ่งจะเรียนจบปริญญาตรี แต่ระหว่างที่รอรับปริญญา เราก็ได้เข้าทำงานในองค์กรณ์ที่ใหญ่ในระดับนึง แต่ถึงแม้องค์กรณ์จะใหญ่และมีชื่อเสียงแค่ไหน แต่มันก็ไม่ได้การันตีว่าชีวิตของคุณจะประสบความสำเร็จกับที่นั่น จนมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต ชีวิตที่เราต้องเลือกว่าจะเดินทางไหน ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนยืนอยู่กลาง 5 แยกชิบูย่า ที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี จะไปเรียนต่อที่ไหน ประเทศอะไร และซิดนีย์ก็ไม่เคยอยู่ในความคิดเลย แต่เราเชื่อในพรมลิขิตนะ จนกระทั้งมาเจอเอเจนซี่นึงใน Facebook และเป็นเอเจนซี่แรกที่ได้ inbox สอบถามข้อมูลเอเจนซี่นี้ชื่อว่า Aussy education group หรือเรียกสั้นๆว่า AEG ก็เลยลองเข้ามาอ่านรีวิว อ่านโพสไปเรื่อยๆ แต่ยอมรับเลยว่าเหตุผลแรกที่เลือกเอเจนซี่นี้เพราะรีวิว เอเจนซี่อะไรได้ 5 ดาวตลอด มันว้าวมากจริงๆ 


รีวิวบางส่วนจากใน Facebook 
        ส่วนใหญ่ทุกๆคนจะเห็นว่ามีแต่คนรีวิว "ขอบคุณพี่ปอ ขอบคุณพี่แก๊บ" แต่จริงๆแล้วยังมีทีมงานเบื้องหลังอีกหลายคนที่คอยดูแลเอกสาร หลังจากที่เรา inbox ไปสอบถามรายละเอียดการไปเรียนต่อ ซึ่งก็คิดไม่ผิดจริงๆในการเลือกเอเจนซี่นี พี่ๆให้คำปรึกษาที่ดีมาก ว่าเราอยากเรียนอะไร อยากมาเรียนกี่เดือน กี่ปี มีงบประมาณเท่าไหร่ แล้วพี่เขาก็จะดูว่าเราเหมาะกับโรงเรียนไหน อย่างไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบโรงเรียนนั้นๆไหม แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ พอได้มาเรียนแล้วชอบมาก ทั้งคุณครู เพื่อน การเรียนการสอน และบรรยากาศในโรงเรียน 

ขั้นตอนการทำเอกสาร
เนื่องจากประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่วีซ่ายากมาก ย้ำเลยว่ายาก ยิ่งมาช่วงหลังๆการพิจารณาวีซ่ายากมากขึ้น เพราะคนไทยด้วยกันเองนี่แหละที่ทำเสีย 
*ในส่วนของเอกสารการทำวีซ่าและสมัครเรียน หลายๆคนถามมาเยอะ ยังไงลองติดต่อพี่ๆเขาดูนะคะ ใจดี ตอบเร็ว ถาม-ตอบครบทุกประเด็นจริงๆค่ะ 

เมื่อทำเอกสารเสร็จ ก็รอใบตอบรับจากทางโรงเรียน รอเอกสารยื่นวีซ่า ตรวจสุขภาพ และก็เดินทางไปเก็บรอยนิ้วมือที่ VFS ซึ่งเป็นศูนย์ยื่นวีซ่าประเทศออสเตรเลีย 

ระหว่างที่ยื่นวีซ่า พี่เอเจนซี่ก็จะโทรมาซ้อมการตอบคำถามจากสถานทูต เพราะจะมีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตโทรมาสัมภาษณ์ อันนี้ก็แล้วแต่ดวงใครดวงมันจริงๆ ในช่วงที่ยื่นวีซ่าก็จะมีโทรศัพท์นี่แหละที่เป็นเหมือนคนรักเลย เพราะต้องติดตัวตลอดเวลา อิอิ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเจ้าหน้าที่จะโทรมาช่วงเวลาไหน วันไหน เรียกได้ว่าลุ้นกันตลอดเวลา แต่......!!! และแล้ววีซ่าก็ผ่านตามระเบียบ ฮ่าๆ แบบไม่โดนสัมภาษณ์ด้วย วู้วววววววว ปลื้มปริ่มจริงๆ 
เราใช้เวลาดำเนินการทั้งหมดทุกขึ้นตอนแค่ 2 เดือนเอง เร็วไหมละ

อ่าาาาาาาา ข้ามไปวันที่เดินทางถึงซิดนีย์เลยละกันเนอะ 
วันแรกที่ขา 2 ข้าง ถึงพื้นโลก เอ้ยยย ไม่ไช่สิ ถึง Sydney ก็มีพี่เอเจนซี่มารับที่สนามบิน ดูแลกันตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียวเชียว 💕💕 


หลังจากนั้นพี่เอเจนซี่ก็จะพาเราไปเปิดซิม เปิดบัญชี เดินดูรอบๆเมือง และพาไปดูบ้านที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในซิดนีย์ เปิดเรียนวันแรกก็พาไปส่งที่โรงเรียน แต่ระหว่างที่อยู่ในซิดนีย์ พี่ๆก็ไม่เคยเท💦นะ ไลน์มาถามตลอดตลอดว่าเรียนเป็นยังไงบ้าง ได้งานทำรึยัง กินข้าวรึยัง พาไปทำบุญ เลี้ยงข้าวเย็นงี้ ชาไข่มุกงี้ ขนมปังงี้ เรียกได้ว่าเป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว 😍😍😍😍 ล่าสุดก็ไปพาไปทัศนศึกษานอกสถานที่!! ไม่ไช่สิ พาไปเปิดหู เปิดตานอกเมือง😄😄 
Brighton Beach, Melbourne

Brighton Beach, Melbourne

ใครจะไปคิดว่าจะเจอเอเจนซี่ที่ดีมากๆๆแบบนี้ ดูแลเหมือนครอบครัว ให้คำปรึกษาหลายๆอย่าง เพราะตอนแรกอ่าน Pantip มาเยอะมาก บางคนก็โดนหลอก บางคนก็โดนเทกลางอากาศ แต่ถ้ามาเจอพี่ๆ AEG นะ รับรองได้ว่าไม่มีการโดนเทแน่นอน มีแต่จะได้ติดปีกนางฟ้า อิอิ เพราะครอบครัวนี้สวยทุกคน 💓 

ใครอยากจะมาใช้ชีวิตเมืองนอก เจอคนดีๆ มีเงินใช้ ลอง inbox สอบถามข้อมูลพี่เขาได้เลย 
ปล.เราไม่ได้ค่าจ้างเขียนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรทั้งนั้น แต่เรารู้สึกว่าการมาเจอคนดี เจอสังคมใหม่ที่ดีมากๆ มันเป็นเรื่องยากนะ ก็เลยอยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง 

https://www.facebook.com/aussiethailand

ท้ายสุดนี้ ➤➤ ขอบคุณพี่ๆทีมงาน Aussy ทุกคนนะคะ สำหรับทุกๆอย่าง การที่เราได้มาเจอกัน มันไม่ไช่เรื่องบังเอิญแน่นอน แต่ทุกๆอย่างมันมีเหตุผลของมัน ขอบคุณโชคชะตาที่พัดมาให้เราได้มาเจอกัน💗 













วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ออกแล้ว....แต่ไม่ได้ออกเลยนะ!

  ตลอดระยะเวลา 5 เดือน 100 วัน 800 ชม 48,000 นาที 2,880,000 วินาที ที่นี่ให้อะไรมากมาย ให้ความรัก ความห่วงใย ให้เพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุด ให้อนาคต 



      จริงๆ การทำงานก็เหมือนกับการเดินทาง ทุกคนก็เหมือนนักเดินทางที่ต่างคนต่างที่มา แล้วเราก็มีรถบัสคันใหญ่ บางทีก็เป็นคันเล็ก บางทีก็เป็นรถไฟ หรือเป็นเครื่องบิน ที่เราขอโดยสารไปด้วย ในรถคันนั้นมีก็คนมากมายที่ร่วมเดินทางไปกับเราโดยรถนั้นก็พาเราไปตามถนนหรือเส้นทางที่รถคันนั้นตั้งไว้

      แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราทุกคนจะต้องเดินทางไปจนถึงปลายทางพร้อมกันทุกคน จริงๆแล้วชีวิตของเราทุกคนก็ต่างมีเส้นทางของตัวเอง เราเริ่มจากจุดหนึ่งและมุ่งไปตามทางเรื่อยๆ โดยรถที่เราขอโดยสารมาด้วยนั้น เป็นพาหนะชั่วคราวเพราะเราเห็นว่ารถคันนี้มุ่งไปในทางที่เรากำลังไปอยู่นั่นเอง แต่ถ้าวันไหนที่เราพบทางแยกที่เราอยากไปอีกทางแล้ว เราก็จำเป็นต้องลงจากรถเพื่อเดินไปต่อตามทางของเรา โบกมือลาให้กับคนอื่นๆ ที่ยังอยู่บนรถ





         การลาออกก็เหมือนกัน ทุกคนไม่มีใครทำงานในบริษัทตลอดไป วันหนึ่งเราก็ต้องจากไปด้วยเหตุผลที่ต่างกัน อาจจะได้ไปเรียนต่อ ได้งานใหม่ หรือไม่ก็อาจจะเกษียณตัวเอง แต่วันใดวันหนึ่งเราก็ต้องจากลาเป็นธรรมดา และการจากลานั้นก็คือการเริ่มต้นอีกครั้งของแต่ละคนที่จะไปบนหาทางเส้นใหม่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ผูกพันหรือมีความสุขไปกับเพื่อนร่วมทางของเรา จะว่าไปแล้ว ความสุขอย่างหนึ่งของการทำงาน ไม่ใช่การได้เงินเดือนเยอะๆ หรือได้รางวัลอะไร แต่คือการที่เราหันไปมองคนรอบข้างเราในที่ทำงาน (ซึ่งเราใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตอยู่กับมัน) แล้วเรารู้สึกมีความสุข รู้สึกผูกพันกับผู้คนเหล่านั้น และคนเหล่านั้นทำให้ทุกๆ วันของเราที่ต้องทำงาน ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา การเจอเพื่อนร่วมงานที่ดีจึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างโชคดีอยู่ไม่น้อย เพราะทุกครั้งที่เรารู้สึกท้อ เหนื่อย หมดกำลังใจ เราก็พอจะนึกถึงอะไรดีๆ ให้เรากลับมาชุ่มชื่นได้บ้าง





     รู้สึกใจหายที่จะต้องโบกมือลาใครสักคนที่ขอลงจากรถเพื่อไปตามทางของเขา เพราะมันก็เหมือนว่าส่วนหนึ่งของความสุขที่เราเคยมีนั้นหายไป แต่ไม่เป็นไร ความสุขเหล่านั้นไม่ได้หายไป มันยังอยู่ในใจของเราเสมอ อยู่ในทุกขณะที่เราหลับตาแล้วนึกถึงอดีตที่เราจดจำ

     การลาจาก ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของทุกๆ อย่าง การขอลงเดินไปในทางของตัวเองเป็นแค่การจากกันชั่วคราว เพราะเมื่อเราได้รู้จักกันแล้ว การเดินทางของพวกเราก็อาจจะได้พบกันอีกในภายภาคหน้าได้เสมอ สิ่งที่เราควรทำจึงไม่ใช่โศกเศร้า แต่คือการยินดีให้กับทุกคนที่เข้ามาและต้องร่ำลาจากไป เพราะทั้งเราและเขาก็ต้องก้าวกันต่อไป

จนกว่าจะพบกันใหม่…อีกครั้ง
BKFERN 27.08.18






CR.NUTTAPUTCH


วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Switzerland......ดินแดนนี้มีอะไร!

Switzerland....



ขอเอ่ยั้นๆว่าสวิสละกันนะ เพราะทุกคนจะรู้จักกันดีในนามสวิส!
สวิสเป็นประเทศที่ธรรมชาติวยทีุ่ดในโลก ไม่ว่าจะไปเมืองไหน ถนนเ้นไหน เราก็จะพบกับธรรมชาติที่มหัศจรรย์จริงๆ 
  • ผู้คนน่ารัก ใจดีและพร้อมที่จะยิ้มให้กับนักท่องเที่ยวเมอ 
  • ความซื่อัตย์ ความมีวินัย มาเป็นที่หนึ่ง ถนนทุกเ้นจะไม่มีเียงแตร และไม่มีการเปิดกระจกมาด่า ไม่มีอาวุธใดๆในรถ มีแต่ความเอื้อเฝื้อต่อเพื่อนร่วมถนน เมื่อรู้ว่ารถทางเลี้ยวมา รถทางตรงจะหยุดทันที 
  • การทักทายของคนสวิส จะใช้การทักทายโดยการกอดหรือเอาแก้มชนกัน ไม่มีการเขินอายหรือหวงตัว เพราะนี่คือวัฒนธรรม 
  • อาหารการกิน คนสวิสจะเน้นกินเนื้อหมูและเนื้อวัวเป็นหลัก แต่จะไม่ค่อยกินปลา เพราะคนสวิสถือว่าปลาไม่ไช่อาหารของเขา
  • น้ำดื่ม คนสวิส่วนใหญ่จะดื่มน้ำจากก๊อกน้ำ เพราะน้ำที่นี่ะอาดมาก!!!!! แต่คน่วนใหญ่มักจะดื่มเบียร์แทนน้ำ หรือไม่ก็จะดื่มน้ำที่มีแก๊เพื่อให้อาหารที่ทานเข้าไปย่อยได้ง่ายขึ้น 
  • ผู้ชายสวิส่วนใหญ่จะเข้าครัว และผู้หญิงจะทำงาน ซึ่งตรงข้ามกับประเทศไทย เพราะฉะนั้นผู้ชายจะทำอาหารเป็น
  • เรื่อง Sex คนที่นี่จะถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เคร่งเครียดเหมือนประเทศไทย 
  • การเดินทางที่สวิสะดวกบายมาก แต่ค่าครองชีพอาจไม่เป็นมิตรกับคนไทยแบบเราเท่าไหร่ เพราะมันแพงมาก ค่ารถไฟก็แพง เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยว่วนใหญ่ที่มาจะต้องทำ swiss pass ซึ่งราคาก็แพงเช่นกัน แต่คนสวิสจะมี Half fare card กัน ามารถเอาไปลดครึ่งราคาำหรับตั๋วรถไฟหรือบัได้ 
  • ประเทศสวิสจะไม่ค่อยมีอุบัติเหตุเพราะคน่วนใหญ่เคารพกฎจราจรกัน 
  • การเดินทางภายในเมืองามารถขึ้นทรัมได้ รถทรัมก็เหมือนรถไฟแต่วิ่งแค่ในเมืองนั้นๆ 
  • ถ้าพูดถึงการื่อาร ประเทศสวิสจะมีทั้งหมด 4 ภาษา คือ สวิส-เยอรมัน, ฝรั่งเศ, อิตาลี และอีกหนึ่งภาษาน่าจะเป็นภาษาพื้นฐานของสวิส ขึ้นอยู่กับว่าเมืองไหนติดชายแดนประเทศอะไร เช่น คน Basel จะพูดภาษาสวิส - เยอรมัน, Lugano จะพูดอิตาลี 
  • ด้านความปลอดภัย สวิสมีเต็มร้อย อาชญากรรมเป็นศูนย์ 
  • สภาพอากาศแต่ละเมืองย่อมแตกต่างกันไป ถ้าตอนเหนือหนาว ทางตอนใต้จะมีฝน ลับกันเป็นช่วงๆ แล้วแต่ดวงว่าใครได้มาช่วงไหน ธรรมชาติก็จะแตกต่างกันไปตามภาพอากาศ

ถ้าพูดถึงการเดินทางมายุโรปครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่นุกและมีความุขมากๆ มันเป็นชีวิตของเราจริงๆ ทำให้รู้ว่าเรารักตัวเองมากแค่ไหน มีคนเคยบอกว่า ถ้าอยากรู้จักใคร ให้ออกเดินทาง ก็เลยอยากรู้จักตัวเอง บางครั้งก็หงุดหงิดตัวเอง โมโหตัวเอง ด่าตัวเองบ้างเวลาขึ้นรถไฟผิด ชมตัวเองบ้างเวลาไปถึงจุดหมาย ทะเลาะกับตัวเองเกือบทุกวัน แต่ยังดีที่มันเถียงกลับหรือด่ากลับไม่ได้ ทุกอย่างๆที่เกิดขึ้นมันทำให้เราหลงรักตัวเองมากขึ้นทุกๆวัน อยากจะดูแลตัวเอง ทะนุทนอมให้ดีทีุ่ด
และขอบคุณสวิสเซอร์แลนด์ที่ทำให้เราเป็นคนที่แกร่งขึ้น กล้าขึ้น ขอบคุณทุกๆประบการณ์ที่อนให้ชีวิตเรามีความหมาย.....!! แล้วเจอกันใหม่ในประเทศต่อๆไป













วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

"Iceland" ดินแดนมหัศจรรย์ By Bkfern

Take me to Iceland 


Iceland ดินแดนมหัศจรรย์ (ดินแดนน้ำแข็ง)
Iceland เป็นประเทศที่อยู่ห่างออกไปทางขั้วโลกเหนือ แต่ก็ยังเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มของทวีปยุโรป
และแน่นอนว่าแผ่นดินน้ำแข็งนี้คงเป็นจุดหมายปลายทางของใครหลายๆคน

Iceland เป็นประเทศที่มหัศจรรย์ในทุกๆเรื่อง! เรื่องแรกเลย....เป็นประเทศที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก ย้ำเลยว่า....ที่สุดในโลก แม้กระทั้งเครื่องดื่ม แพงจริงๆแพงแบบเอวี่ติงเลย 
  • เป็นประเทศที่ไม่มีรถไฟวิ่งระหว่างเมืองหรือในเมือง 
  • เป็นประเทศที่ธรรมชาติอัศจรรย์ที่สุด!!!ตลอดการ road trip คุณจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบ 100% 
  • ถนน High way มีเส้นเดียวและวิ่งรอบๆประเทศ นั่นหมายความว่าคุณสามารถมา road trip ได้แบบไม่หลง 
  • สระว่ายน้ำที่นี่ คุณต้องล้างตัวก่อนลงสระทุกครั้งเหมือนเมืองไทย แต่สิ่งที่พิเศษที่สุดคือคุณต้องล้างตัวโดยไม่มีอะไรอยู่ที่ตัว นั่นหมายความว่า คุณต้องแก้ผ้า และทุกคนก็จะเห็นของคุณ หรือคุณก็จะต้องเห็นของคนอื่น 
  • 90% ผู้คนเป็นมิตร น่ารัก พร้อมช่วยเหลือเสมอ 
  • คุณจะได้พบกับมิตรภาพใหม่ๆเสมอระหว่างการเดินทางที่นั้น เพราะ 90% คือนักท่องเที่ยวเหมือนกัน 
  • มหัศจรรย์ค่าใช้จ่ายที่สุด เพราะบานปลาย ควบคุมไม่ได้จริงๆ
  • ระเบียบวินัยทางถนนและการจราจรดีมากๆโดยเฉพาะนักท่องเที่ยว ให้ความร่วมมือกันเกือบ 100% 
  • เมื่อถามทางกับคนท้องถิ่น โปรดอย่าหลงเชื่อ ถ้าเขาบอกไม่ไกล นั้นแสดงว่าโคตรไกล (โดนมาละ 8 กม.)
มันมีเรื่องมหัศจรรย์อีกมากมาย อย่ามัวแต่กลัว อย่ามัวแต่ไม่กล้า ออกมาเถอะ ออกมาเดินดูโลก แล้วคุณจะพบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ได้บอกให้เชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ 





สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวช่วงไหนดี และช่วงฤดูไหนที่จะพบเจออะไร ลองติดตามกันได้นะคะ

ฤดูหนาว 

ช่วงเดือน ธันวาคม มกราคม กุมพาพันธ์ ไปจนถึงต้นๆเดือนมีนาคม ช่วงนี้ใครบางคนอาจกลัวหนาว แต่มีคนอีกมากมายที่สู้หนาวมาเพื่อล่าแสงออโรร่า ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มา เยือนประเทศเล็กๆประเทศนี้ นอกเหนือจากแสงออโรร่าแล้วยังเป้นช่วงเวลาดีที่จะได้ชมความงามของถ้ำน้ำแข็ง ที่เข้าชมได้แค่ช่วงนี้ของปี และก็เป็นอีกช่วงเวลาทองของคนรักการถ่ายภาพ เพราะพระอาทิตย์ที่ไม่ขึ้นเลยเหนือศรีษะ แสงอาทิตย์จะระเรื่อขอบฟ้าตลอดวัน ทำให้เพื่อนๆได้สนุกกับการถ่ายภาพอย่างแน่นอน




ฤดูใบไม้ผลิ
เริ่มต้นที่เดือนเมษายน  ไปจนถึงปลายเดือนพฤษาภาคม สภาพทั่วไปจะยังมีหิมะอยู่บนยอดภูเขา หิมะขาวๆ ตัดสลับกับภูเขาช่วงล่างที่หิมะละลายแล้วจึงทำให้เห็นสีสันของพื้นหญ้าสีส้มจากหญ้าแห้งที่ถูกหิมะทับถมมาจากปีก่อน สลับกับสีเขียวของหญ้าใหม่ที่เริ่มผลิ การท่องเที่ยวในช่างเดือนนี้พระอาทิตย์กลางวันกับช่วงเวลากลางคืนจะเท่าๆกัน 



ฤดูร้อน

ช่วงเดือน มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม ช่วงเวลาซัมเมอร์นี้ถือเป็นช่วงเวลาทองของผู้คนที่นี่ ที่จะได้แต่งตัวสวยๆ หล่อ ๆ แฟชั่นเก๋ๆที่ใครมีแล้วเก็บไว้ ห่อไว้มิดชิดก็ได้เอามาใส่เปิดโชว์กันก็ช่วงนี้ ด้วยอากาศที่สบายๆ กับเดย์ไลท์ที่ยาวนาน พระอาทิตย์จะตกดินช่วงเวลาเที่ยงคืน ที่นักท่องเที่ยวมากมายต่างมาใช้ช่วงเวลาพระอาทิตย์เที่ยงคืนทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งดนตรี งานศิลปะ ร้านค้าต่างๆที่มีช่วงเวลาเปิดสั้นช่วงฤดูหนาวก็จะเปิดทำการนานขึ้น สำหรับคนที่รักการถ่ายภาพ ซัมเมอร์เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาดี ดี ที่จะได้ภาพสวยๆ เพราะดอกไม้สีสวย ใบหญ้าสีสัน สัตว์เลี้ยงตามชายทุ่ง ลาวาหญ้ามอสเขียวขจี กับแสงพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่ยาวนาน ช่วงตั้งแต่ห้าทุ่มไปจนถึง ตีสาม เป็นแวลาที่ท้องฟ้าระบายสี



ฤดูใบไม้ร่วง

ช่วงเดือน กันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน ช่วงนี้จะมีฝนเยอะ แต่เสน่ห์ของฤดูนี้คือ สีสันของใบไม้ก่อนร่วงหล่นที่ทั้งสีส้ม สีแดงอ่อนไปจนถึงแดงจัด สีเหลืองอ่อนไปจนเข้มจัด สีชมพู มองไปทุ่งลาวาที่มอสเขียวๆตัดกับสีของใบสีแดง สีเหลือง และมีฉากหลังเป็นภูเขาลูกโตที่บนยอดเขามีหิมะสีขาวๆปกคลุม มันช่างอลังการงานศิลปะจากธรรมชาติจัดสรรให้ชมกันค่ะ และฤดูนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เพื่อนๆสามารถที่จะลุ้นชมแสงออโรร่ากันได้ด้วย 




ขอบคุณข้อมูลฤดูท่องเที่ยวจาก พี่ 

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

นอกลู่ "หรือ" นอกทาง กับ ATV with ME.......!

ทริปนี้....เป็นทริปที่ไม่ได้ตั้งใจเท่าไหร่....ไปแบบงงๆ ขับแบบอึนๆ แต่ความสุขไม่ได้อยู่ตรงที่เสียเงิน!

ชีวิตของเรามันเหมือนการนั่งต่ออะไรสักอย่าง ต่อไปเรื่อยๆ จะต่อยาวแค่ไหนก็ได้..........
ตอนแรกเรายังไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรกันแน่ และมันจะออกมาเป็นรูปอะไร ตัวอะไร แต่ถ้าสิ่งที่เรานำมาต่อมันมากพอที่จะถ่ายรูปได้ เราจะเริ่มเห็นภาพนั้นแบบรางๆ และถ้าสิ่งที่เราต่อมันมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ภาพนั้นมันอาจเป็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น....!

ทริปนี้มันไม่มีแพลนอะไรเลย ก็อย่างที่บอกเป็นทริปที่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ สืบเนื่องมาจากเรามีแพลนว่าจะขึ้นอมก๋อยวันที่ 21 ตุลาคม แต่เราจะต้องเดินทางไปถึงก่อน 1 วัน เพื่อเตรียมตัว เตรียมใจ แต่เหมือนมีเหตุให้ต้องเดินทางไฟลท์เช้าเพราะการบินไทยเหลือไฟลท์เช้าที่ราคาค่อนข้างดีหน่อย ก็เลยจัดการจองทันที และเวลาในช่วงบ่ายเหลือค่อนข้างเยอะ และบวกกับเราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบอยู่นิ่งๆซะด้วยสิ ก็เลยตัดสินใจไปลองขับ ATV เป็นระยะเวลา 3 ชม.
^
^
และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้!

สถานที่ : เดอะพีค ห้วยตึงเฒ่า จ. เชียงใหม่ (ห่างจากตัวเมืองประมาณ 15 กิโลเมตร) ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 30 นาที 

ระดับของแต่ละทาง :  
    Jungle Excursion (ขับสบายๆ สำหรับครอบครัว) 1200 บาท/คน
  • เวลาขับ ATV : 1 ชั่วโมง
  • ระยะทาง : 10 กิโลเมตร
  • ระดับความยาก : ง่าย
     Jungle Trail (สำหรับทุกวัย) 2200 บาท/คน
  •  เวลาขับ ATV : 2 ชั่วโมง
  • ระยะทาง : 20 กิโลเมตร
  • ระดับความยาก : ง่าย
     Triple-X (เน้นความมันส์ เส้นทางมีความยากและท้าทาย) 3200 บาท/คน
     ซึ่งเราขับระดับนี้
  • เวลาขับ ATV : 3 ชั่วโมง
  • ระยะทาง : 30 กิโลเมตร
  • ระดับความยาก : ยาก
         เส้นทางออฟโรด 100%


บางคนบอกว่าการไปพักผ่อนต่างจังหวัด เป็นการผ่อนคลาย เราว่าจริงๆธรรมชาติของคนเราเป็นคนที่ขี้เบื่อ เบื่ออะไรเดิมๆ ซ้ำๆ จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ ลองถามตัวเองดูว่าจริงไหม (อย่าหลอกตัวเองนะ) อาจเป็น 1 ใน 2 ก็ได้ที่เป็นแบบนี้ แต่เราคนหนึ่งละที่โค ตะ ระ เบื่อเลย เบื่อที่ต้องอยู่แต่ห้องในสี่เหลี่ยม เบื่อที่ต้องได้ยินเสียงอาจาร์ยจากไมโครโฟน เบื่อที่จะต้องเพ่งสายตาไปที่กระดาน เบื่อที่จะต้องเอามือจับปากกา โอ้วววว แค่นึกภาพก็ร้องยี๋แล้ววว (แต่การเรียนก็เป็นสิ่งที่ดีนะ) 


ก่อนที่จะออกไปลุยป่า ขึ้นเขา ลงห้วย ก็ต้องตรวจเช็ครถกันก่อน เพื่อความลอดภัย



ทุกอย่างเรียนร้อยดี ยกเว้นความพร้อมส่วนตัวค่ะ แต่...ความพยามยาม คือหนทางไปสู่ความสำเร็จ


ทุกอย่างพร้อมก็....ลุยยยยยยย ค่ะ หลังจากนี้คือความโหดตลอดระยะทาง 30 กม.


นี่แค่เริ่มต้น...ถ้าเริ่มต้นดี ทุกอย่างก็จะดีค่ะ


ผ่านไปไม่นาน...เริ่มสัมผัสได้ถึงระยะทางที่เพิ่มระดับความโหด


เรื่อยๆ...ค่ะ


ขับวนไปค่ะ....ดับบ้าง อะไรบ้าง เพราะขับแบบมีครัชไม่เป็น อิอิ


เริ่มเข้า ด่านที่ 2 แล้วววววว


ศรีษะเริ่มสั่นดุ๊กดิ๊กๆไปตามความโหดของทาง


ยาวไปค่ะ ยาวไป....



เริ่มอยากจะร้องเพลงขึ้นมาทันทีเลยยย แงๆ 


อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะไกล้บอกที.....!


ก็ไม่เท่าไหร่นะ.....แค่หยุดบ่อยเท่านั้นเอง



        มาละด่านที 3 ด่านที่น่าจะโหดที่สุด เพราะจะมีทั้งแอ่งน้ำ โขดหิน ความชันระดับสิบและอีกมากมายเลย 
         ผสมรวมกันอยู่ ตู้มมมม ออกมาเป็นโกโก้ครั้นนนนน อิอิ (ไม่ไช่ก็เหมือนไช่ค่ะ) ต้องรอดูสภาพตอนจบค่ะ


 และนี่ก็คือ พี่สต๊าฟ ผู้ที่น่ารักมากก ไม่ดุ ไม่ด่า ไม่ว่า ไม่บ่นเลยสักครั้ง (หรือในใจก็ไม่รู้) ;)



ขับมาได้เกือบๆ 3 ชม ก็ออกมาสู่เส้นทางปกติ ซึ่งมีความสวยอยู่



ไปดูวิวกัน Cr.พี่สต๊าฟที่ใจดี



สวยไช่ไหมละ ไม่ผิดหวังจริงๆ


กลับกันดีกว่าาาา เหนื่อยสุดๆไปเลย


อะนี่คือสภาพหลังขับเสร็จแล้วววววว


หลังจากที่ออกไปผจญภัยครบ 3 ชั่วโมงแล้ว มันทำให้ความกลัวเราหายไปเยอะเลย หลายๆคนมักจะพูดกับตัวเองเสมอว่า รอ รอ รอ ไม่กล้า ไม่เอา ไม่พร้อม แต่....การที่คุณตัดสินใจก้าวออกมา มันทำให้คุณได้อะไรอีกมากมายเลยนะ......อานุภาพของคำว่า "ไม่" มันโหดร้ายมากนะ มันทำให้ทุกๆอย่างดูเป็นอุปสรรคไปหมด แต่เชื่อเราเถอะ ความรู้สึกและความสนุกในการทำสิ่งๆหนึ่ง มันจะอยู่กับเราแค่ช่วงอายุหนึ่งเท่านั้น และมันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต

ขอขอบคุณ : The touch Chiangmai, สถานที่ที่เราไปขับ พี่ๆสต๊าฟ และความสวยงามตลอดทาง

ข้อมูลแพคเกจจาก The touch Chiangmai 

See you soon 

Bkfern 
Bkcrazytravell